2 ตุลาคม 2561
เก็บอะไรเข้าพอร์ต ในภาวะดอกเบี้ยต่ำ
ถ้าใครต้องการ “ออมเงินในระยะยาว” ในภาวะเช่นนี้ ควรต้องศึกษาให้ดีๆ
ก่อนที่จะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยจากการออมที่ต่ำมาก
และจากผลการศึกษาที่ผมอ่านมาทำให้ระบุได้ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า พันธบัตรทั่วโลก
ก็จะให้ผลตอบแทนที่เฉลี่ยได้ไม่เกิน 2% เท่านั้น
ทำให้ผมย้อนกลับมามองใหม่ว่า ตอนนี้มีอะไรบ้างที่ยังเก็บเข้าพอร์ตได้ ซึ่งมันก็คงหนีไม่พ้น หุ้น พันธบัตร อสังหาฯ หริอไม่ก็ทองคำ แต่ไม่ว่าจะซื้อเองหรือซื้อผ่านกองทุนก็ตาม ราคามันแพงสูงเกินพื้นฐานของมันไปแล้ว มาสะดุดตาก็ตรงการซื้อประกันที่ทุกคนมองข้าม โดยเฉพาะตอนนี้ ผมเห็นว่าราคาของประกันบำนาญนั้นต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นอยู่มาก อีกไม่นานราคาจะต้องถูกปรับแพงขึ้น หรือไม่มีให้ซื้ออีกแล้ว ถ้าไม่รีบเก็บเข้าพอร์ตตอนนี้ คงเสียดายและหาสินทรัพย์อื่นมาชดเชยได้ยากแน่
เราลองมาดูเหตุผลที่ทำไม ประกันบำนาญ จึงน่าเก็บเข้าพอร์ตกันดีกว่า
1. ยังถูกอยู่ - ต้นทุนของประกันบำนาญ คือพันธบัตรระยะยาว ในเมื่อพันธบัตรดอกเบี้ยต่ำ (ราคาแพง) แบบนี้ ราคาเบี้ยประกันจึงควรจะแพงตาม แต่โชคดีที่ปกติแล้วราคาของแบบประกันจะไม่ปรับตัวขึ้นตามทันทีทันใด มันจะมีระยะเวลาตามหลังตลาดพันธบัตรประมาณ 3 - 6 เดือน เพราะอาจจะยังมีพันธบัตรเก่า (ในราคาถูก) ที่ซื้อเก็บไว้และยังไม่ได้ใช้อยู่ ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็เหมือนกับโรงงานทำขนมเค้ก ถ้าราคาน้ำตาลได้สูงขึ้นมา จริงๆ ราคาขนมเค้กก็ควรต้องขึ้นราคาตามทันที แต่เพราะมีสต๊อกน้ำตาลที่ราคาเดิมอยู่ จึงสามารถรอจนใช้น้ำตาลในสต๊อกหมดก่อน แล้วค่อยปรับราคาขนมเค้กขึ้น
2. การันตีระยะยาว - เปลี่ยนเงินก้อนจาก
Active income ในวันนี้
ให้กลายเป็น Passive income ในอนาคต
ด้วยผลตอบแทนที่การันตี เฉกเช่นพันธบัตร แต่สิ่งที่ทำมากไปกว่านั้นก็คือการ lock อัตราผลตอบแทนที่สูงในตอนนี้ได้จนถึงอายุ 80 - 90 ปี (แล้วแต่แบบประกัน)
ซึ่งไม่มีพันธบัตรไหนที่การันตีได้ยาวถึงขนาดนี้ ยิ่งจะคุ้มมาก ถ้าดอกเบี้ยจากพันธบัตรในอนาคต
จะเหมือนกับญี่ปุ่นในสมัยก่อน ที่ผ่านมาเกือบ 20 ปี แล้วอัตราดอกเบี้ยก็ไม่เคยสูงขึ้น
นับวันมีแต่น้อยลงจนติดลบไปแล้ว
3.สภาพคล่องที่ดี –
เงินที่จ่ายเป็นเบี้ยประกันจะถูกสะสมในรูปของสำรองทางคณิตศาสตร์ประกันภัย
ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ของคนที่ซื้อประกันไป ทำให้สามารถมีสิทธิ์กู้กรมธรรม์เพื่อนำเงินสดมาได้ตลอดเวลา
จึงมีสภาพคล่องมากกว่า LTF หรือ RMF
ที่ไม่สามารถแปลงเป็นสภาพคล่องเพื่อนำเงินสดออกมาใช้ชั่วคราว
4.การกระจายความเสี่ยง – มันคงจะเสี่ยงมากถ้าใครที่คิดจะลงทุนโดยถือแค่หุ้นหรือพันธบัตรเพียงอย่างเดียว แต่ในการวางแผนการเงินที่ดี จะต้องมีการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงไปด้วย เพราะไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไร วิกฤตเศรษฐกิจจะเกิด ฟองสบู่แตก หุ้นตก หรือดอกเบี้ยติดลบ ทางที่ดีที่สุดก็ควรจะมีสินทรัพย์หลายๆ อย่างไว้กระจายความเสี่ยง อย่างน้อยเราก็ควรจะมีแหล่งรายได้จากหลายๆ ด้าน บางอย่างถือระยะสั้นได้ แต่ก็มีบางอย่างเผื่อถือไว้ระยะยาว
5.สิทธิทางภาษี 3 ต่อ – เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าเบี้ยบางชนิดที่จ่ายไปนำไปลดหย่อนภาษีได้ (ถ้าใครฐานภาษี 10% ก็เท่ากับเหมือนได้ส่วนลดไป 10% เป็นการออมที่น่าสนใจมาก) แต่สิ่งที่ได้มากไปกว่านั้นคือ ดอกเบี้ยผลตอบแทนที่ได้รับจะได้รับการยกเว้นภาษี (ดอกเบี้ยจากเงินฝากประจำ พันธบัตร หุ้นกู้ หรือตราสารหนี้อื่นๆ จะต้องเสียภาษีถึง 15%) และสุดท้ายก็คือ ถ้ามีทุนประกันจ่ายเมื่อเสียชีวิต ก็จะสามารถถ่ายโอนเป็นมรดกให้ลูกหลาน โดยไม่เสียภาษีมรดก
6.สิทธิ์ในการ refinance – ตราสารตัวนี้ ถ้าผมมองในมุมของวิศวกรรมการเงิน ก็ถือเป็น Put table bond อย่างหนึ่ง ซึ่งหมายความว่า เมื่อดอกเบี้ยในตลาดเกิดสูงขึ้นมา ผู้บริโภคก็สามารถใช้สิทธิ์ถอนเงินออกมา refinance เพื่อไปลงทุนใหม่ในพันธบัตรที่อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าได้ (แต่ก็จะเสียสิทธิ์ในการลดหย่อนทางภาษีไป จึงต้องถามผู้รู้และศึกษาให้ดีๆ ก่อน)
สุดท้ายนี้ ผมเห็นว่าการวางแผนการเงินเพื่อเกษียณนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่าย เพราะเป็นเรื่องการวางแผนระยะยาว ที่ยาวไปจนถึงชีวิตหลังเกษียณที่ใครๆ ก็คาดเดาไม่ได้ว่าตัวเองจะอายุยืนแค่ไหน และต้องเตรียมเงินก้อนไว้เท่าไร มีแต่ความรู้เท่านั้นที่จะทำให้เราเห็นโอกาสในการจัดพอร์ตการออมให้ยั่งยืนแบบนี้ได้ ซื้อถูก และเก็บยาวแบบนักลงทุนเน้นคุณค่า (นักลงทุน VI) เป็นหนึ่งในสูตรสำเร็จของการวางแผนการเงินยามเกษียณครับ
โดย : อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน) มือหนึ่งด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย คุณวุฒิสูงสุดระดับเฟลโล่
FSA, FIA, FRM, FSAT, MBA, MScFE (Hons), B.Eng (Hons)