8 ตุลาคม 2561
เคยมีแนวคิดเรื่องภาษีคนโสดเกิดขึ้นในประเทศไทยเรา
ซึ่งจริงๆ แล้วคงจะไม่ต่างอะไรกับการผลักดันให้คนในประเทศมีลูกกันมากขึ้น
ซึ่งคิดไปคิดมาแล้วมันอาจจะออกมาในรูปแบบอื่นๆ ก็ได้เช่น “นโยบายลูกคนแรก”
ที่จะลดหย่อนภาษีให้เมื่อมีลูกคนแรก (กับภรรยาคนแรก) ก็เป็นได้
สิ่งที่ทำให้ต้องคิดกันต่อก็คือที่มาของความอยากที่จะทำให้คนมีลูกกันมากขึ้น
อาจเพราะเห็นว่าคนไทยในประเทศยังมีน้อยไป
หรืออาจเป็นเพราะคิดว่าคนไทยมีนิสัยรักเด็กก็เป็นได้ แต่สิ่งที่เป็นเหตุผลจริงๆ
ของที่มาในแนวคิดนี้ก็คือความต้องการให้มีความสมดุลระหว่างประชากรวัยทำงานกับประชากรสูงอายุในอีก
20 – 30 ปี ข้างหน้า
นั่นเพราะว่าประเทศไทยกำลังจะประสบกับปัญหาประชากรสูงอายุล้นประเทศในอนาคต !!!
เนื่องจากภาวะประชากรสูงอายุล้นประเทศจะทำให้ภาครัฐไม่สามารถเลี้ยงดูประชากรผู้สูงอายุเหล่านี้ได้ทั้งหมด เงินภาษีที่เก็บมาจากประชากรในวัยทำงานจึงมีไม่พอ ซึ่งจะยังผลทำให้ประเทศชาติไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
ถ้าคิดกันแบบธรรมดาประสาชาวบ้าน
เราก็จะมองวิธีการแก้ปัญหาว่าทำได้โดยการไปเพิ่มประชากรวัยกระเตาะเข้ามาในประเทศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
เรื่องก็น่าจะจบ
เพราะจะได้ให้เด็กเหล่านั้นเติบโตมาเป็นทรัพยากรของชาติที่สำคัญในการทำงานและจ่ายภาษีให้ภาครัฐในอนาคต
แต่สิ่งที่ไม่จบ(แต่อาจจะนำไปสู่จุดจบ)
ก็คือการไม่ยอมคิดต่อไปให้ไกลกว่านั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้ปัญหาใหม่ๆ จะเกิดขึ้นตามมาเป็นระลอกคลื่น
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไม่คิดถึงระบบที่จะรองรับคนที่จะเกิดมาในอนาคตให้ดีแล้ว
มันก็เปรียบเหมือนการออกนโยบายรถคันแรกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการไปกระตุ้นให้คนซื้อรถกัน
แต่สุดท้ายแล้วเราก็เห็นว่าไม่มีถนนให้ใช้กัน ทำให้รถติดมากยิ่งขึ้น ใช้เวลาบนถนนนานขึ้น
และทำงานได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยแถมยังเปลืองน้ำมันมากขึ้นอีกต่างหาก
สุดท้ายก็จอดรถกันไว้เฉยๆ เพราะหาที่จอดรถกันไม่ได้
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ตามมาก็คือการที่เงินได้ถูกดึงออกมาจากกระเป๋าของประชากร
ซึ่งแน่นอนว่าเศรษฐกิจจะถูกกระตุ้น (หรือจะเรียกว่า “กระตุก” ก็ได้)
ได้ในระดับหนึ่ง แต่นั่นก็อาจทำให้กำลังซื้อของประชนเหือดหายไปจากระบบ
เพราะประชาชนเป็นหนี้ผ่อนรถกันเสียส่วนใหญ่ และตอนนี้ก็กำลังทำงานผ่อนส่งจ่ายค่ารถ
(หรือค่าดอกเบี้ยรถ)ในแต่ละเดือน สุดท้ายเศรษฐกิจก็คงถดถอยไปในที่สุด
กระตุ้นให้มีรถคันแรกกัน
à
ระบบรองรับไม่ดีพอ à ถนนไม่พอใช้
à
รถติด à ใช้เวลาบนถนนนานขึ้น à
ทำงานได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย à เปลืองน้ำมัน
à
รถจอดไว้เฉยๆ à หาที่จอดรถกันไม่ได้
à
ประชาชนเป็นหนี้ผ่อนรถ à ไม่มีเงินซื้อของอย่างอื่น
à
ประเทศถดถอย
เฉกเช่นการที่อยากไปกระตุ้นให้คนมีลูกกันมากขึ้น แต่ไม่มีระบบรองรับที่ดีพอ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาที่มีได้รองรับไม่เพียงพอ หรือพ่อแม่มีเวลาดูแลลูกได้ไม่พอ ทำให้นำไปสู่การมีประชากรที่ไม่มีคุณภาพและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด หรือโจรกรรมตามมา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้แล้วก็คงไม่ต้องพูดถึงว่ารัฐคงจะเก็บภาษีได้เพราะแม้แต่ประชากรวัยทำงานเองยังไม่มีงานทำ และสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้กลับมาที่ปัญหาเก่าๆ คือภาครัฐมีเงินภาษีไม่พอที่จะไปเลี้ยงดูประชากรผู้สูงอายุ ทำให้ไม่เหลือเงินภาษีไปพัฒนาประเทศชาติได้ และนำพาประเทศให้ถดถอยไปในที่สุด
กระตุ้นให้มีลูกกัน
à
ระบบรองรับไม่ดีพอ à การศึกษาไม่พอให้
à
พ่อแม่ดูแลลูกไม่ดีพอ à
บุคลากรของชาติไม่มีจิตสำนึก à ประชากรไม่มีคุณภาพ
à
ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด และโจรกรรม à
ประชากรวัยทำงานไม่มีงานทำ à รัฐเก็บภาษีไม่ได้
à
ไม่สามารถเลี้ยงดูประชากรผู้สูงอายุ à
ไม่เหลือเงินภาษีไปพัฒนาประเทศ à ประเทศถดถอย
เหล่านี้เป็นเพียงแต่การจินตนการตามประสาของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่ไม่ได้มีข้อมูลสถิติหรือตัวเลขมายืนยัน
เพียงแต่อาศัยการสังเกตและประสบการณ์จากการประเมินอนาคตเท่านั้น
ซึ่งถ้าแนวคิดนี้เกิดขึ้นจริง ก็ได้แต่ภาวนาให้สิ่งที่คาดการณ์ไว้นั้นไม่เป็นจริงครับ
ในมุมกลับกัน ภาครัฐสามารถเตรียมความพร้อมของคนที่กำลังเข้าสู่วัยเกษียณได้โดยการส่งเสริมการออมสำหรับคนกลุ่มนี้ให้มากขึ้น ซึ่งวิธีนี้น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดที่สุด ทั้งนี้ ภาครัฐสามารถใช้เครื่องมือทางภาษีเป็นเครื่องจูงใจและกระตุ้นพฤติกรรมของประชาชนได้ เช่น การเพิ่มเพดานค่าลดหย่อนภาษีจากการซื้อประกันชีวิตหรือประกันบำนาญ เป็นต้น
โดย : อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน) มือหนึ่งด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย คุณวุฒิสูงสุดระดับเฟลโล่
FSA, FIA, FRM, FSAT, MBA, MScFE (Hons), B.Eng (Hons)
ผู้เขียนหนังสือขายดี The Top Job Secret ภาค 2 และที่ปรึกษาบทภาพยนตร์ Love Battle รัก 2 ปียินดีคืนเงิน