11 ตุลาคม 2561
มาคราวนี้เป็นคำถามที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ถ้ามีเงินอยู่ 500 บาท คนไทยจะเอาเงินไปทำอะไรกัน ระหว่างการซื้อ "ลอตเตอรี่ ทิชชู่ หรือประกัน" ซึ่งผู้อ่านที่เป็นคนไทยด้วยกันก็คงตอบไม่ยาก และคำตอบก็ไม่ได้น่าแปลกใจเลยถ้าคนไทยจะเลือกซื้อลอตเตอรี่ก่อน หลังจากนั้นจึงมาซื้อกระดาษทิชชู่ ส่วนประกันนั้นก็ถูกลืมไปในที่สุด เพราะเงินในกระเป๋าหมดพอดี
แปลกตรงที่ทั้ง
3 สิ่งนั้นเป็นกระดาษเหมือนกัน แต่คนไทยกลับมองเห็นความสำคัญของลอตเตอรี่มาก่อนสิ่งอื่น
ส่วนประกันกลับกลายเป็นสิ่งที่คนไทยหลายคนได้มองข้ามกันไป
เราจะลองมาวิเคราะห์กระดาษทั้ง
3 แบบนี้โดยเริ่มจากกระดาษทิชชู่หรือที่เรียกกันทั่วไปว่ากระดาษชำระ
กระดาษทิชชู่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค
(Consumer
product) ที่สามารถจับต้องได้ และนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง
การที่คนซื้อกระดาษเหล่านี้ไปก็เพื่อจะเอาไปใช้งาน และเมื่อใช้ก็จะหมดไป
ทำให้ต้องหาซื้อใหม่เรื่อย ๆ ซึ่งว่าง่าย ๆ
ก็คือกระดาษทิชชู่นั้นเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันที่คนไทยขาดไม่ได้นั่นเอง ดังนั้น
เราจะยกประโยชน์ให้จำเลยที่เป็นกระดาษทิชชู่ในที่นี้ไป
ส่วนลอตเตอรี่ หรือหวยนั้นก็เป็นของคู่กับคนไทยมาแต่ไหนแต่ไร
เนื่องด้วยคนไทยชอบเสี่ยงโชค และเป็นคนมองโลกในแง่ดี (อีกทั้งยังฝันแม่น)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีเพื่อนฝูง และญาติพี่น้องเข้ามาช่วยอวยพรเลี้ยงฉลอง และเงินไปใช้ตอนที่เจ้าตัวถูกหวย
เคล็ดลับสำหรับคนที่เพิ่งเคยถูกหวยก็คือเอาเงินที่ได้ทั้งหมดนั้นไปจ่ายหนี้ก่อน
แล้วกันอีกบางส่วนไว้ลงทุน หลังจากนั้นจึงค่อยบอกคนอื่นว่าตัวเองถูก
หลักการของลอตเตอรี่นั้นก็รู้ ๆ
กันอยู่ว่าทุกคนจะต้องจ่ายเงินส่วนหนึ่ง (เช่น การซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นต้น)
เพื่อนำเงินเข้ามาในกองทุนก่อน แล้วหลังจากที่หักค่าใช้จ่าย และส่วนกำไรออกมาแล้ว
จึงจะค่อยแบ่งเงินที่เหลือออกมาเป็นรางวัลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรางวัลที่ 1
หรือรางวัลเลขท้ายก็ตาม
ซึ่งก็รู้มูลค่าของรางวัลอยู่แล้วว่าจะต้องจ่ายแต่ละรางวัลเมื่อไร และเท่าไร
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือลอตเตอรี่นั้นจะไม่มีวันขาดทุนอย่างแน่นอน
เพราะต้นทุนและราคาทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว
ส่วนคนซื้อลอตเตอรี่ก็คงรู้อยู่เต็มอกแล้วว่าค่าเฉลี่ยของสิ่งที่จะได้กลับคืนมา
(ภาษาคณิตศาสตร์เรียกว่าค่าคาดหวัง หรือ Expected Value) นั้นมีมูลค่าน้อยกว่าราคาที่เสียเงินซื้อไปแน่นอน
เพียงแต่การซื้อลอตเตอรี่นั้นจะได้ความสนุกในการเสี่ยงโชคกับการได้ลุ้นและได้ฝันไปด้วย
และแล้วก็มาถึงแผ่นกระดาษแบบสุดท้ายที่คนมักจะลืมกัน
นั่นก็คือ “ประกันภัย” เพราะเป็นอะไรที่ซื้อแล้วอาจไม่ได้ใช้หรือไม่ได้เห็นทันตาเหมือนกับการซื้อกระดาษทิชชู่
(ที่หยิบไปด้วยเวลาเข้าห้องน้ำ) หรือซื้อลอตเตอรี่ (ที่ได้ลุ้นอยู่ทุก ๆ 15 วัน)
หลักการของประกันภัยนั้นจะรวบรวมเงินของแต่ละคนในรูปแบบของเบี้ยประกันภัยเพื่อนำเงินเข้ามาไว้กับบริษัท ซึ่งบริษัทก็จะนำเงินมาลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนแล้วก็หักค่าใช้จ่ายและกัน
“เงินสำรองประกันภัย”
ออกมาไว้ก่อนเพื่อที่จะตั้งจ่ายเป็นเงินคืนให้กับลูกค้าในอนาคต
ส่วนกำไรจะเป็นเท่าไรนั้นก็ต้องขึ้นกับว่าต้นทุนจะเกิดขึ้นเมื่อไรและเท่าไร
ซึ่งไม่เหมือนกับลอตเตอรี่ที่กำหนดรางวัลเอาไว้อยู่แล้วตายตัวว่าจะจ่ายเมื่อไรและเท่าไร
เมื่อเป็นดังนี้
ก็จะเห็นได้ว่าการขายประกันนั้นอาจจะขาดทุนได้ถ้าประมาณการต้นทุนได้ไม่ถูกต้อง
จะเห็นว่าลอตเตอรี่กับประกันนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
แต่มีสิ่งที่เหมือนกันระหว่างลอตเตอรี่กับประกันก็คือ
ค่าคาดหวังค่าเฉลี่ยของสิ่งที่จะได้กลับคืนมานั้นจะมีมูลค่าน้อยกว่าราคาที่ได้เสียเงินซื้อไป
เพราะแน่นอนอยู่แล้วว่าคงไม่มีใครอยากขายของขาดทุนเป็นแน่
แต่สิ่งที่ประกันจะแตกต่างกับลอตเตอรี่ก็คือประกันจะทำหน้าที่คุ้มครองลูกค้าในเวลาที่เกิดความสูญเสียทางการเงิน
(Financial
loss) ที่ไม่คาดฝันขึ้น (โดยจะจ่ายทุนประทันเป็นเงินคืนให้กับลูกค้า)
ขณะที่ลอตเตอรี่จะจ่ายเงินให้กับคนที่ซื้อก็ต่อเมื่อคน ๆ
นั้นถูกหวยตามที่ตัวเองได้คาดฝันเอาไว้
ถึงแม้สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดจะเป็นกระดาษเหมือนกัน
แต่วัตถุประสงค์การใช้งานนั้นต่างกัน เพราะชีวิตมันไม่แน่ไม่นอน
เราจึงควรวางแผนคุ้มครองตัวเองและคนที่เรารักไว้ก่อน
แล้วเรื่องเสี่ยงโชคนั้นค่อยมาคิดทีหลังดีกว่า จริงไหมครับ...
โดย : อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน) มือหนึ่งด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย คุณวุฒิสูงสุดระดับเฟลโล่
FSA, FIA, FRM, FSAT, MBA, MScFE (Hons), B.Eng (Hons)
ผู้เขียนหนังสือขายดี The Top Job Secret ภาค 2 และที่ปรึกษาบทภาพยนตร์ Love Battle รัก 2 ปียินดีคืนเงิน