5 ตุลาคม 2561
ช่วงนี้หุ้นผันผวนเหลือเกิน บางคนเครียดถึงขั้นนอนไม่หลับ
วันนี้ผมจึงขออนุญาตมาในแนวแฟนตาซีเชิงปรัชญานิดหน่อย
ด้วยนิทานที่น่าสนใจ ใหม่แกะกล่อง เลยอยากนำมาฝากกัน...
เรื่องมีอยู่ว่า... "มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง โชคดีได้ไปพบไร่องุ่นที่เต็มไปด้วยของโปรดของมัน
เห็นแล้วก็อดใจไม่ได้ ได้แต่อยากจะเข้าไปในไร่ เพื่อกินองุ่นให้เต็มที่... แต่มันก็อ้วนเกินไป
เลยมุดผ่านรั้วไปไม่ได้ ดังนั้นมันจึงยอมที่จะอดอาหาร ไม่กินไม่ดื่มอยู่สามวัน เพื่อทำให้ตัวมันผอมลง
และด้วยความมุ่งมั่นเพื่อจะทำให้ได้ในสิ่งที่มันปรารถนา ในที่สุด มันก็มุดผ่านรั้วเข้าไปได้!
เมื่อมันกินอิ่มเป็นที่พอใจแล้ว แต่…ตอนที่จะกลับออกไป กลับออกไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ได้...
ในหัวมันจึงเริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรต่อ
มันสามารถเลือกที่จะอยู่ในไร่องุ่นที่อยู่ในรั้วนั้นต่อไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะมีใครจับได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็คงต้องตายอย่างอนาถแบบไร้ความหมายในไร่องุ่นนี้... เมื่อไม่มีทางเลือก มันก็เลยต้องอดน้ำอดอาหาร
อีกสามวันสามคืน... สุดท้ายแล้ว ท้องของมันตอนที่ออกมาก็เหมือนกับตอนที่มันเข้าไป"
ถ้าเปรียบเทียบนิทานเรื่องนี้กับชีวิตจริง สุนัขจิ้งจอกตัวนี้ ก็เหมือนชีวิตของมนุษย์เรา
ที่เกิดมาก็พยายามดิ้นรน ขวนขวาย และมองหาสิ่งที่ตัวเองอยากได้
โดยการไล่ตามหาไร่องุ่นที่อยู่ในรูปแบบของวังวนที่เราเรียกกันว่า “ระบบทุนนิยม”
เพื่อที่จะกินให้อิ่มจนเป็นที่พอใจ หรือเข้าสู่สิ่งที่กระแสในสมัยนี้ใช้คำโก้เก๋ที่เรียกกันว่า...อิสรภาพทางการเงิน
ประเด็นคือ...ถ้าพยายามอย่างหนักหน่วง เสียสุขภาพ
เสียเวลาไปเกือบทั้งชีวิต เพื่อให้ได้มันมาถึงจุดๆ นั้นแล้ว
เราจะทำอย่างไรต่อไป... เพราะหลายคนเลือกที่จะยังคงอยู่ในรั้วต่อไปเรื่อยๆ
ไม่ปล่อยวาง จนกว่านาฬิกาชีวิตจะหมดลง แต่จะมีใครซักกี่คนที่ฉุกคิดขึ้นมาได้
และพยายามหาทางมุดออกจากรั้วแบบสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นไหม
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เพราะผมอยากแนะนำให้รู้จักกับคนๆ หนึ่ง โดยนิตยสาร
Forbes ได้กล่าวถึงคนๆ
นี้ว่าเป็นคนที่ค่อยๆ ทยอยบริจาคเงินตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อเอามารวมกันแล้วก็มีมูลค่าประมาณ
2 แสนล้านบาท (มีมูลค่าเท่ากับเลี้ยงโต๊ะจีนได้มากถึง 50,000 ปีเลยทีเดียว) และที่พิเศษกว่านั้นก็คือ
คนๆ นี้ไม่ยอมประกาศตัวและแอบบริจาคเงินอย่างเงียบๆ มาตลอด จนเมื่อเวลาได้ล่วงผ่านไป
30 ปี ถึงค่อยมีคนไปรู้เข้า
ประโยคกินใจของเขาคือ
"I had one idea that
never changed in my mind - that you should use your wealth to help
people." หมายความว่า “ความคิดหนึ่งที่ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนไปจากใจของเขาเลยก็คือ...คนเราควรใช้ความมั่งคั่งเพื่อช่วยเหลือผู้คน”
คนๆ นี้ชื่อ Chuck
Feeney และมีอายุ 77 ปีแล้ว โดยเขาเป็นเจ้าของ DFS บริษัท duty free อันดับ 1 ของโลก
ได้บริจาคเงินคืนกลับไปสู่สังคมทั้งหมด คิดเป็น 99 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด โดยมันทำให้เขามีความสุขมากกว่า
การกอดเงินไว้มากมายมหาศาลเสียอีก
เคยมีคนถามเขาว่าทำไมถึงคิดบริจาคเงินออกไปเกือบหมด
ซึ่งคำตอบของเขาก็ง่ายมาก ชนิดที่เข็มขัดสั้น (คาดไม่ถึง) ว่า “เพราะถุงศพไม่มีกระเป๋าใส่เงิน”
เมื่อย้อนกลับมาวิเคราะห์ดูแล้ว จะเห็นว่าเขาได้มองข้ามช็อตและออกมาจากวังวนของระบบทุนนิยม
ด้วยสัจธรรมที่ว่า "บนสวรรค์นั้นไม่มีธนาคาร ทุกคนเกิดมากับความว่างเปล่า
ในที่สุดก็ จากไปมือเปล่า ไม่มีใครสามารถนำความมั่งคั่งกลับไปได้"
ซึ่งประโยคนี้ก็เหมาะเจาะกับนิทานที่ว่านี้โดยแท้
เทศกาลวันวาเลนไทน์ก็เพิ่งผ่านไปหมาดๆ พร้อมกับกลิ่นความรักสีชมพูที่อบอวล แต่เมื่อลองกลับมานึกดูถึงความหมายของวันแห่งความรักที่ว่านี้แล้ว มันก็คือวันแห่งการแบ่งปันความสุขให้กับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนก็ตาม ผมจึงขอถือโอกาสนี้ ถามตัวเราเองว่า... ถึงเวลาหรือยังที่เราเริ่มคิดที่จะแบ่งปันความมั่งคั่งให้กับผู้อื่น ใครมั่งคั่งด้านความรู้ก็แบ่งปันความรู้ ใครมั่งคั่งด้านการเงินก็แบ่งปันผ่านการบริจาค
ส่วนใครที่มั่งคั่งด้านความรักจนล้นเหลือ...ก็เผื่อแผ่ให้คนรอบข้างกันแต่พองามนะครับ หรือจะเอาคติพจน์ประจำใจของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยอย่างผมไปใช้ก็ได้ ว่า... “เพราะผมชอบคิดเลขในใจ...เลยคิดนอกใจใครไม่เป็น” J
โดย : อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน) มือหนึ่งด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย คุณวุฒิสูงสุดระดับเฟลโล่
FSA, FIA, FRM, FSAT, MBA, MScFE (Hons), B.Eng (Hons)
ผู้เขียนหนังสือขายดี The Top Job Secret ภาค 2 และที่ปรึกษาบทภาพยนตร์ Love Battle รัก 2 ปียินดีคืนเงิน