5 กรกฎาคม 2564
โควิด-อย่าเชื่อแต่เพียงสถิติ
แม้ว่าโดยปกติแล้วเราจะใช้หลักสถิติเป็นเครื่องมือสำหรับคาดการณ์อนาคต
เพื่อประกอบการตัดสินใจ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกสถานการณ์จะแค่นำสถิติที่ผ่านมาใช้อย่างเดียวก็จบ
โดยเฉพาะกับเหตุการณ์ไม่ปกติ เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้น
การเก็บเพียงแต่ตัวเลขทางสถิติของคนที่ติดเชื้อโควิดที่ผ่านมา
โดยไม่พิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานสำหรับการประมาณการความเสี่ยง
ว่าในบางสถานการณ์นั้นก็ไม่สามารถเชื่อสถิติที่เกิดขึ้นในอดีตเพียงอย่างเดียวได้
โดยเฉพาะในบางประเด็นที่ปัจจัยความเสี่ยงนั้นไม่ได้เป็นความเสี่ยงแบบสุ่ม
(random
number) ตามในทฤษฎี แต่เป็นความเสี่ยงที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน
หรือก็คือโอกาสของการติดเชื้อนั้นไม่ได้มีค่าคงที่ แต่จะมีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งทำให้การจัดการความเสี่ยงนั้นไม่เหมือนกับสลากกินแบ่งรัฐบาลที่สามารถคำนวณหาโอกาสความน่าจะเป็นในการถูกรางวัลได้โดยมีทฤษฎีรองรับอย่างแม่นยำ
สำหรับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดนั้นเป็นเหตุการณ์ที่สามารถเปลี่ยนไปได้เรื่อย ๆ ตามสถานการณ์ ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะใช้สมการคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนมากเพียงใด แต่ด้วยข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้การประเมินอนาคตนั้นทำได้เพียงแค่การประเมินแบบคร่าว ๆ เท่านั้น ว่าสถิติมีโอกาสไปในทิศทางไหนได้บ้าง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ผู้ที่กำหนดนโยบายหรือผู้ที่ต้องประเมินความเสี่ยงนั้นติดกับดักทางสถิติและเกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ง่าย
โดยสถิติที่ผ่านมานั้นจะไม่สามารถนำมาจำลองอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้ทั้งหมด
เพราะการจำลองอนาคตสำหรับความเสียหายนั้นเกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัย เช่น
โอกาสและอัตราการติดเชื้อว่าจะแพร่กระจายได้เร็วแค่ไหน (loss frequency) และความรุนแรงหลังจากการติดเชื้อมากน้อยเพียงใด
(loss severity) ซึ่งนับเป็นปัจจัยที่ไม่คงที่กันทั้งคู่
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะเกิดไปอีกนานเท่าไร
ก็นับเป็นอีก 1
ปัจจัยสำคัญที่ทุกคนต่างถามถึง บางคนเคยคิดว่าน่าจะจบที่กลางปี 2564
บางคนตอนนี้เปลี่ยนมาคิดว่าน่าจะจบที่ปลายปี 2564 ส่วนบางคนเชื่อว่ากว่าสถานการณ์นี้จะจบจริง คงเป็นช่วงปี 2565 เป็นต้น
ในขณะที่การติดเชื้อในครั้งนี้นั้นมีโอกาสสูงขึ้นเป็นหลายเท่าตัวได้ในอนาคต
ซึ่งหมายถึงจะต้องประเมินสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตนั้นจะต้องประเมินให้ได้อย่างน้อยเท่ากับจำนวนระยะเวลาที่คาดการณ์ว่าจะจบไว้
อีกทั้งความเสี่ยงที่ขึ้นกับพฤติกรรมของมนุษย์
นโยบายของรัฐบาล ทิศทางขององค์การอนามัยโลก การวิจัยยารักษาโรค
รวมไปถึงตัววิวัฒนาการของไวรัสเองด้วย
ทำให้สิ่งต่อไปนี้นำสถิติในอดีตมาจำลองอนาคตได้ยากมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการระบาดครั้งนี้ได้มีปัจจัยเรื่องของการวิวัฒนาการของไวรัส
และการวิวัฒนาการทางการแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้อง
เนื่องจากโควิดเป็นไวรัสที่เกิดขึ้นมาใหม่
ทำให้มีความน่าจะเป็นที่ตัวไวรัสจะสามารถวิวัฒนาการต่อได้
ซึ่งถ้าเกิดมีการวิวัฒนาการไปเป็นไวรัสที่มีความรุนแรงมากขึ้น ก็จะทำให้ข้อมูลที่นำมาใช้วิเคราะห์เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
ในทำนองเดียวกัน
ด้านการแพทย์ยังคงมีการพัฒนาวิธีการรักษาผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโควิดอยู่เรื่อย
ๆ และถ้าเมื่อไรที่วงการแพทย์สามารถหาวิธีรักษาโรคจากไวรัสนี้ได้
ก็ต้องปรับข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ให้มีความเหมาะสมตามกันไป
นอกจากปัจจัยเรื่องของการวิวัฒนาการของไวรัสและการวิวัฒนาการทางการแพทย์แล้ว ยังมีปัจจัยในด้านพฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เพราะโควิดนั้นสามารถติดต่อได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนต้องเปลี่ยนแปลงไป
ยกตัวอย่างเช่น
ต้องใส่หน้ากากอนามัยก่อนออกไปพบปะผู้คน, มีการเว้นระยะห่างทางสังคม (social
distancing), สถานที่ต่าง ๆ
มีการจัดตั้งจุดตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าไปในสถานที่และมีการจัดตั้งเจลล้างมือไว้บริการผู้คนที่เข้าไปใช้บริการ
จนอาจจะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า วิถีชีวิตใหม่ หรือ new normal นั่นเอง
ถ้าผู้คนมีวินัยและปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้
ก็จะทำให้ความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสลดลง
ซึ่งจะส่งผลต่อการวิเคราะห์ข้อมูลของนักคณิตศาสตร์ประกันภัย
แต่ถ้ามีผู้คนที่ละเลยไม่ปฏิบัติตามแนวทางการป้องกัน
ก็อาจจะทำให้ความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้น
กรณีที่แย่ที่สุดก็อาจทำให้เกิดการระบาดครั้งใหญ่
จนทำให้มีผู้ติดเชื้อไวรัสเป็นจำนวนมากก็เป็นได้
ดังจะเห็นได้ในหลายประเทศ
และไม่พ้นประเทศไทย ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้จริง
นักคณิตศาสตร์ประกันภัยก็คงต้องทำงานหนักขึ้นอย่างมาก
เพราะสิ่งที่เคยได้วิเคราะห์ไปเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นจนข้อมูลที่นำมาใช้วิเคราะห์เปลี่ยนไปอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชนก็ตาม
การจะกำหนดนโยบายหรือตัดสินใจทิศทางของธุรกิจนั้นจะใช้ทฤษฎีทางสถิติเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ
ในวงการคณิตศาสตร์ประกันภัยจึงมีประโยคที่ใช้กันในตอนออกแบบเบี้ยประกันโควิดว่า “Law of large numbers is not working for COVID-19.” เพราะไม่ใช่แค่นำหลักสถิติมาใช้ก็จบ แต่เราต้องนำหลักเศรษฐศาสตร์ หลักการเงิน และหลักการคาดการณ์อนาคตพิจารณาร่วมด้วย จึงจะสามารถพยากรณ์อนาคตได้อย่างถูกหลักการที่แท้จริง การจะประเมินความเสี่ยงและหามาตรการมารองรับในอนาคต
ขอขอบคุณอ้างอิง : ประชาชาติธุรกิจ
เขียนโดย อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน)
คอลัมน์คุยฟุ้งเรื่องการเงิน: วันที่ 25 พฤษภาคม 2564
อดีตนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย
อาจารย์บรรยายด้านการคำนวณผลประโยชน์พนักงานด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย
อาจารย์ที่ปรึกษาบทภาพยนตร์ Love Battle รัก 2 ปียินดีคืนเงิน
และผู้แต่งหนังสือ
บทความที่เกี่ยวข้อง