3 มิถุนายน 2562
เพราะชอบคิดเลขในใจ เลยคิดนอกใจใครไม่เป็น
ใครจะรู้ครับว่านักคณิตศาสตร์ประกันภัยก็เคยตกเลขมาก่อน ในช่วงนั้นเอง ผมอยู่ชั้น ม.4 และก็ต้องไปสอบซ่อมเพราะสอบวิชาเลขตก!!!
วันนี้จึงเป็นเรื่องเบาๆ ถึงเรื่องราวของ การฝึกฝนสมอง ของเราให้คิดเลขเก่ง คิดเลขไว โดยผมอยากจะมาเล่าประสบการณ์จากการฝึกฝนและสังเกตจากสิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวันของเรา
ผมจำได้อยู่เสมอว่าในสมัยที่คุณปู่ของผมยังมีชีวิตอยู่ เขาจะมองหน้าจอทีวีและจะมีตัวเลขหุ้นคาดตรงแถบทีวีด้านล่าง และตัวเลขนั้นก็จะวิ่งไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าตอนนั้นท่านจะอายุ 90 กว่าปีแล้ว ท่านก็ยังจำได้อยู่ว่าตัวเลขที่วิ่งบนหน้าจอทีวี (ในสมัยนั้นยังไม่มีแอป) นั้น ท่านซื้อตัวไหนที่ราคาใดและตอนนี้ราคามันเท่าไรแล้ว ซึ่งผมไม่ได้สนใจหรอกครับว่าท่านได้กำไรหรือขาดทุน แต่ที่น่าสนใจคือพลังของตัวเลขนั้น ทำให้สมองแข็งแรงและมีประสิทธิภาพอยู่ได้ถึงขนาดนี้เลย
จนแล้วจนรอด ประเด็นสำคัญของ เคล็ดลับของการบริหารสมอง มันอยู่ที่การทำให้เป็นนิสัย ถ้าอยากเก่งเลข ฝึกเลข ฝึกฝนสมอง ก็จะต้องอยู่อย่างเป็นธรรมชาติกับตัวเลข เพราะตัวเลขอยู่รอบเราอยู่แล้ว
อย่างนิสัยประจำที่ผมติดมาก็คือ การบวกลบเลขในใจ โดยเฉพาะที่เมื่อเวลารถติดแล้วเราไม่รู้จะมองอะไร มองไปทางไหนก็เจอแต่รถ รถยนต์ รถเมล์ รถมอเตอร์ไซค์ ที่ติดอยู่ทุกหนทุกแห่ง ตัวเลขที่ผมมองหาบนท้องถนนได้ก็คงจะมีเพียงแต่ “เลขทะเบียนรถ” เท่านั้น
แรกๆ ก็บอกว่าเรามันก็บ้าอยู่เหมือนกัน ที่มานั่งบวกเลขแบบนี้ แต่อาจเพราะตอนนั้นมันเบื่อรถติด ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยสร้างเกมส์ที่เล่นไว้ในใจ (เมื่อก่อนไม่มีเกมส์บนมือถือให้เล่น) ขึ้นมาเล่นอย่างลับๆ ด้วยตัวเอง
จึงเป็นที่มาของการที่ผมชอบบวกเลขทะเบียนรถ เวลารถติด และมันก็กลายพันธุ์จนมาเป็นเวลารถวิ่งผ่านเราเมื่อไร เราท้าทายกับตัวเองไว้ว่าจะต้องบวกเลขได้คำตอบให้ทันก่อนรถวิ่งพ้นสายตาไปให้ได้ จนหลังๆ มันเริ่มคล่องขึ้น รถวิ่งผ่านตา มันก็บวกเลขได้คำตอบของมันเอง ใครจะเอาไปใช้เล่นก็ได้นะครับ ถ้าอยากให้ท้าทายหน่อย ก็จากบวกเลขทะเบียนรถกันธรรมดา ก็เริ่มมีการคูณเข้ามาบ้างก็ได้
เทคนิคทะเบียนรถนี้ ก็ยังเอาไปใช้ประยุกต์กับอย่างอื่นได้เช่นกันครับ เช่น ฝึกอ่านเลขในใจเป็นภาษาอังกฤษ เป็นต้น โดยแรกๆ ก็อ่านได้แค่ 2 เลขท้าย แต่ต่อมาพอฝึกคล่องขึ้นก็กลายเป็น 3 เลขท้ายและมากขึ้นตามลำดับ เพราะผมก็เคยเป็นหนึ่งในคนที่อ่านภาษาอังกฤษไม่คล่อง ต้องคอยแปลจากภาษาไทยไปก่อนแล้วค่อยแปลงเป็นภาษาอังกฤษอีกที
และเพื่อก้าวข้ามกำแพงนี้ไปให้ได้ ผมจึงแปลงเทคนิคนี้เพื่อให้อ่านตัวเลขออกมาเป็นภาษาอังกฤษให้ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งมันก็ได้ผลดีจนเข็มขัดสั้นเกินไปเลยครับ (เข็มขัดสั้น จนคาดไม่ถึง) เพราะมันเริ่มทำให้เราเข้าใจการทำงานของสมองตัวเอง และจากนั้นการเรียนรู้การใช้ภาษาอังกฤษของผมกับคำศัพท์อื่นๆ ก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเราเริ่มจับจุดได้แล้ว โดยถ้าจะฝึกภาษาอังกฤษก็ต้องสั่งตรงจากสมองของเราเป็นภาษาอังกฤษเลย การจะมาแปลจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษนั้นจะทำให้มีปัญหาตามมาทีหลัง หลังจากนั้นการท่องศัพท์ภาษาอังกฤษของผมจึงไม่มีปัญหาอีกเลย เพราะผมจะไม่ท่องศัพท์จากไทยไปเป็นอังกฤษอีกต่อไป แต่จะใช้เทคนิคจำเป็นประโยคภาษาอังกฤษและนึกเป็นภาพพร้อมบริบทของมันออกมา ซึ่งมันได้ผลมากครับ
ที่กล่าวมานั้น เพื่อจะบอกว่า พอเราเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้แล้ว
มันทำให้ตระหนักถึงจุดๆ หนึ่งเลยก็คือ วิชาคณิตศาสตร์นั้น ก็คือภาษาชนิดหนึ่งนั่นเอง
มันใช้สมองซีกเดียวกัน (คือสมองด้านซ้าย) กับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ หรือภาษาอื่นๆ เพียงแต่ไวยกรณ์ของภาษาคณิตศาสตร์นั้นจะมีลักษณะเฉพาะ
เป็นตรรกะ เป็นสมการ และต้องอาศัยการฝึกฝน เพียงแค่เรารู้จักไวยกรณ์หรือ grammar
ของมัน มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากอีกต่อไป
สรุปแล้ว การคิดเลขในใจนั้น ฝึกเราได้หลายๆ อย่างครับ ดีกว่านั่งเล่นเกมส์มือถือบนรถ แถมเวลาเราคิดเลขในใจ มันก็ฝึกให้เราคิดนอกใจใครไม่เป็นนะครับ
สุดท้ายนี้ การทดเลขไปด้วย วิ่งไปด้วย นั้นไม่แนะนำครับ จะเป็นอันตรายมากถึงชีวิต... เพราะมันทำให้ชีวิต "รัน (run) ทด"