25 กันยายน 2561
หลายคนในปีนี้จะบอกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นไม่ง่ายเลย ตลาดดูเหมือนจะมีความวุ่นวายเหลือเกิน เดากันไม่ถูกเลยว่าจะมีแนวโน้มไปทางไหน แต่ถ้าดูจากระยะเวลา 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา ก็จะเห็นว่าตลาดหุ้นได้ดีดตัวขึ้นไปมากกว่า 10% แล้ว ส่วนใครที่ทยอยซื้อในช่วงต้นปี และเพิ่งขายในช่วงที่ผ่านมา ก็คงยิ้มเห็นกำไรกันเป็นแถว ถือว่าเป็นรางวัลของการซื้อที่ถูกจังหวะ และทนถือไว้ได้ในช่วงที่มีแต่เรื่องร้ายๆ เพราะต้องเผื่อหัวใจวายกลางทาง จากการทนพิษแรงผันผวนของตลาดไม่ไหว
แต่ถ้าเราไม่เอาตัวเข้าใกล้กับตลาดมากจนเกินไป เราก็จะมองเห็นภาพอะไรต่างๆ ได้ชัดขึ้น และก็จะช่วยให้สงบสติอารมณ์ มีใจนิ่งๆ กันได้ในภาวะตลาดแบบนี้ครับ เพราะโดยรวมแล้วตลาดในประเทศก็ยังคงผันผวนอยู่ โดยผมจะขอยกตัวอย่างของเหตุผลและเรื่องราวต่างๆ ที่ตลาดตื่นเต้นไปกับมัน ดังนี้
วิกฤตโลก
มีคนเริ่มกังวลว่า เรากำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจโลกอีกครั้งหรือเปล่า
เพราะต่างก็พูดว่าช่วงนี้เป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำถึงขนาดที่ได้ยินคนออกมาบอกว่าไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืดแล้ว
สงสัยจะแปลว่าเศรษฐกิจฝืดเคืองมาก ซึ่งจริงๆ แล้ว เราจำเป็นต้องดูการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเติบโตของรายได้ประกอบไปด้วย
ส่วนวงจรเศรษฐกิจในแต่ละรอบนั้น จะอยู่ในช่วง 8 – 10 ปี ซึ่งก็ทำให้หลายคนเดากันว่าอเมริกาน่าจะเข้าสู่ช่วงปลายวงจรเศรษฐกิจแล้ว โดยถ้าใครลงทุนในตลาดต่างประเทศก็
ต้องระวังกันมากหน่อย แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง
มังกรผวา
สิ่งที่ช่วยชูโรงให้เรารู้สึกหัวใจสูบฉีดแรงเป็นระยะๆ
ก็คือ ความปั่นป่วนของตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะการดูแลเสถียรภาพตลาดของจีนที่คอยสร้างความตะลึงให้กับพวกเรา
เหล่านักลงทุนทั้งหลาย
ชนิดที่ว่าเป็นหนังสือที่เดาไม่ออกว่าข้างในจะมีเนื้อหาอะไร
บอกข่าวร้ายกับฉันเลย...บอกมาเลยก็จบกัน
ส่วนข่าวร้ายในช่วงที่ผ่านมาที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง
ก็ได้แก่ ข่าวเรื่อง OPEC ไม่คิดลดกำลังการผลิตลง การขาดทุนของธนาคารระดับโลกอย่างดอยซ์แบงก์
ประมูล 4G แพงกว่าที่คาด
หรือ ผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่โดนเรื่อง inside trading ตอนซื้อแมคโคร
เป็นต้น
โดนกั๊กทุกครั้งเวลามีลุ้น
ในเวลาที่สัญญาณทางเศรษฐกิจเริ่มจะดีขึ้นมา
ทางนักวิเคราะห์ก็จะเริ่มกังวลเรื่อง Fed ของอเมริกาที่จะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งก็จะส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้น
และดัชนีโดนกดอยู่กับที่เช่นกัน
ถ้าจะให้ผมวิเคราะห์ในภาพกว้างและเหตุการณ์โดยรวม โดยในช่วงที่ตลาดหุ้นของโลกจะลงนั้น มักจะเป็นการปรับฐานใหญ่ของตลาดทั่วโลก และมันก็จะยังเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ สักระยะ ส่วนธนาคารโลกก็ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตได้ ขณะที่ราคาน้ำมันยังต่ำอยู่ ปัญหาเงินเฟ้อไม่มี ต้นทุนการผลิตไม่สูงขึ้น
โดยเฉพาะหุ้นไทย ยังมีหลายตัวที่จัดว่าราคาหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานอยู่มาก ประกอบกับปริมาณเม็ดเงินที่ยังล้นโลกนี่แหละครับ ที่ทำให้ระยะยาวมีลุ้นเป็นอย่างมากสำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะในการพักฐานแต่ละครั้ง ยิ่งย่อมากเท่าไร ก็ยิ่งสะสมพลังในการดีดกลับขึ้นมากเท่านั้น อีกทั้งยังรอเม็ดเงินจากภาครัฐให้จับจ่ายในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ สิ่งเหล่านี้เอง น่าจะส่งผลดีสำหรับการลงทุนระยะยาว เพียงแต่ตอนนี้ตลาดอยากรับฟังข่าวแบบไหนก็เท่านั้น
ถ้าในปีนี้ นักลงทุนมองภาพไกลออกไปอีกหน่อย... ตื่นเต้นกับความผันผวนน้อยลงอีกนิด... ลดความกังวลว่าช่วงนี้ไม่ใช่วิกฤติเศรษฐกิจ... พยายามหาช่วงของจุดต่ำสุดให้เจอว่าอยู่แถวไหน... แล้วทยอยซื้อสะสมในช่วงนั้นแล้วล่ะก็....ต่อให้ติดดอยหรือถูกหาว่าเป็นเม่าต่ำเตี้ยแค่ไหน แต่เราคือ “เม่า...เก้าชีวิต” ที่พร้อมจะกระพือปีก ฟื้นคืนชีพทุกครั้ง ในแต่ละรอบของวงจรชีวิตหุ้น พร้อมๆ กับผลตอบแทนอันคุ้มค่าให้เราได้สมหวังกันครับ
อ้างอิง : FINNOMENA