คำว่า “คำนวณผลประโยชน์พนักงาน” หลายคนคงสงสัยว่าคำนวณอะไร หากจะให้เข้าใจง่าย ๆ เราจะลองมาดูตัวอย่างสมมติต่อไปนี้กัน สมมติว่าเราตั้งเป้าว่าจะให้รางวัลตนเองที่ทำงานอย่างหนักในอีก 10 ปีข้างหน้าว่า จะไปเที่ยวต่างประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขว่า วันใดที่เราไปทำงาน เมื่อกลับมาถึงบ้านจะหยอดเงินในกระปุก 100 บาท หากผ่านไป 1 ปี เราทำงานทั้งหมด 300 วัน ก็แปลว่า ณ วันสิ้นปี หากเราเปิดกระปุกมาดูก็จะมีเงิน 30,000 บาท
และหากผ่านไป 3 ปี ทำงานทั้งหมด 1,000 วัน ก็จะต้องมีเงินในกระปุก 100,000 บาท
แต่ในชีวิตจริง เราอาจจะไม่ได้มีวินัยขนาดนั้น บางวันลืมหยอดเงิน บางวันเผลอหยอดแล้ว และก็หยอดซ้ำอีก บางวันลืมกดเงินออกจากบัญชี หรือช่วงปลายเดือนอาจจะเข้าสู่ภาวะช็อตเงินชั่วคราว ซึ่งเป็นสาเหตุให้ยอดเงินอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริง ตลอด 1 ปี ทำงานไป 300 วัน แต่เงินในกระปุกอาจจะไม่เท่ากับ 30,000 บาทก็ได้
ดังนั้นพอถึงสิ้นปี เราก็ต้องมานั่งนึกเอาว่า ที่ผ่านมาทำงานไปกี่วันกันแน่ แล้วก็ค่อยคำนวณออกมาเป็นยอดเงินสะสมที่ควรจะมีอยู่ในกระปุก
กลับมาที่ผลประโยชน์พนักงาน บริษัทจะต้องจ่ายเงินชดเชยเมื่อเกษียณอายุให้พนักงานในอนาคต ซึ่งตามมาตรฐานการบัญชี กำหนดให้ต้องเริ่มสะสมเงินตั้งแต่เนิ่น ๆ เหมือน ๆ กับในตัวอย่างที่ค่อย ๆ สะสมเงินเพื่อไปเที่ยวในอนาคต 10 ปีข้างหน้า ยิ่งทำงานมาก ยอดเงินที่สะสมไว้ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้นการคำนวณผลประโยชน์พนักงาน ก็เลยคล้ายคลึงกับการคำนวณยอดเงินเก็บในตัวอย่าง คือนักคณิตศาสตร์ประกันภัยก็จะต้องมาคำนวณ ตั้งแต่พนักงานเริ่มงานตั้งแต่วันแรก จนถึงปัจจุบัน ควรจะต้องมียอดเงินสะสมเท่าไร
ซึ่งมันจะซับซ้อนกว่าตัวอย่างที่กล่าวมาตรงที่ว่า ในตัวอย่างจะสามารถกำหนดได้เองว่าทำงาน 1 วัน จะต้องสะสมเงินเท่าไร แต่ในเรื่องผลประโยชน์พนักงานไม่สามารถกำหนดเองได้ตามใจชอบ
ทั้งนี้ในการคำนวณผลประโยชน์พนักงาน จะเป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรฐานการบัญชีไทย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ฉบับคือ
TFRS for NPAEs หรือมาตรฐานรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ ซึ่งในมาตรฐานไม่ได้กล่าวถึงผลประโยชน์พนักงานโดยตรง แต่พูดรวม ๆ เกี่ยวกับหนี้สินที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต (ซึ่งผลประโยชน์พนักงานจะรวมในส่วนนี้ด้วย) แน่นอนว่าไม่ได้มีการกำหนดวิธีการคำนวณไว้อย่างแน่ชัด
แต่หลักการสำหรับมาตรฐานฉบับนี้ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป หากเทียบเป็นการเก็บเงินเที่ยวต่างประเทศตามเดิม จะเป็นว่า
เราจะทำงานไปเรื่อย ๆ และเมื่อครบ 1 ปีค่อยมานั่งนับย้อนหลังว่าในปีที่ผ่านมา เราทำงานไปกี่วัน เช่น 310 วัน ก็จะเติมเงินในกระปุกไป 31,000 บาท
วิธีนี้มีข้อดีคือ ไม่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ก็มีข้อเสียคือต้องรอครบรอบปีก่อน จึงจะรู้ว่าปีนี้จะต้องหยอดเงินในกระปุกเท่าไร ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาว่าไม่มีเงินมากพอที่จะสำรองไว้ตามที่ควรจะเป็น
TFRS for PAEs หรือมาตรฐานรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะ ซึ่งมีมาตรฐานฉบับย่อย ๆ ที่พูดถึงผลประโยชน์พนักงานโดยเฉพาะคือ TAS19 หรือมาตรฐานการบัญชีไทยฉบับที่ 19
โดยหลักการของมาตรฐานฉบับนี้คือการมองไปข้างหน้า ยกตัวอย่างเดิมคือเก็บเงินใส่กระปุกไปเที่ยวต่างประเทศ แทนที่เราจะรอจนครบปีแล้วใส่เงินลงไป เราจะคาดการณ์ไปในอนาคต 1 ปีข้างหน้าว่า เราจะทำงานกี่วัน เช่นเราลองนับดูแล้วคิดว่าปีนี้จะทำงาน 290 วัน ก็จะถือว่าปีนี้เราควรมีเงินในกระปุก 29,000 บาท
และเมื่อถึงปลายปีก็ค่อยมานับดูว่า เราทำงานได้ 290 วันตามที่คิดไว้หรือไม่ หากขาดก็ต้องหาเงินมาเติม หรือเกินก็นำเงินออกไปใช้จ่ายได้
วิธีนี้จะยุ่งยากซับซ้อนกว่าวิธีแรก แต่มีข้อดีตรงที่เราสามารถรับรู้ล่วงหน้าก่อนว่าปีนี้จะต้องเติมเงินในกระปุกเท่าไร จะได้เตรียมเงินไว้ก่อน แม้จะคลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่เงินที่ต้องหามาเติมในกระปุกในช่วงปลายปี ก็จะน้อยกว่าวิธีแรก เพราะส่วนหนึ่งได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว
สรุปคือการคำนวณผลประโยชน์พนักงาน ก็คือการคำนวณว่าตั้งแต่วันแรกที่พนักงานทำงาน จนถึงปัจจุบัน บริษัทจะต้องเตรียมเงินไว้สำหรับการจ่ายเงินชดเชยเกษียณอายุไว้จำนวนเท่าไร ซึ่งจะรอให้ถึงสิ้นปีก่อนแล้วค่อยคำนวณทีเดียว หรือจะประมาณการไปข้างหน้าก่อน แล้วค่อยปรับปรุงตามหลัง ก็ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทมีความจำเป็นจะต้องคำนวณผลประโยชน์ตามมาตรฐานชุดใด
นายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย
อาจารย์บรรยายด้านการคำนวณผลประโยชน์พนักงานด้วยหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย
อาจารย์ที่ปรึกษาบทภาพยนตร์ Love Battle รัก 2 ปียินดีคืนเงิน
และผู้แต่งหนังสือ
- The Top Job Secret ภาค 1 – อาชีพเงินล้านที่คนไทยยังไม่รู้จัก
- The Top Job Secret ภาค 2 - ทำน้อยได้มาก ฉลาดเลือกงาน
- ให้เงินทำงาน ภาค 1 - การจัดการสินทรัพย์และหนี้สินให้ถูกวิธี (Asset Liability Management)
- ให้เงินทำงาน ภาค 2 - วิเคราะห์ภาษีกับนักคณิตศาสตร์ประกันภัย (ตัดสินใจวางแผนการออมเพื่อประโยชน์ทางภาษี)
Like
Share