1 ตุลาคม 2561
"กู้มรดกมาจ่ายบำนาญให้ตัวเอง"
ปัญหาโลกแตกของการวางแผนในการใช้ชีวิตหลังเกษียณ คือการที่ไม่รู้ว่าจะอยู่หรือตายถึงเมื่อไหร่ หากโชคดีสุขภาพแข็งแรงมีอายุยืนเกินที่คาดไว้จะส่งผลต่อชีวิตอย่างไร จะมีเงินเพียงพอกับค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไหม หรือสุดท้ายจะเป็นภาระให้กับลูกหลานหรือคนข้างหลังมากแค่ไหน พูดได้ว่าชีวิตหลังเกษียณเป็นชีวิตที่ยืนอยู่บนความไม่แน่นอน โดยเฉพาะคนที่ไม่มีลูกหลาน (หรืออาจมีลูกหลานที่ไม่กตัญญูนัก…) ประกอบกับความคิดที่ว่าชีวิตคือความไม่แน่นอนดังนั้นจึงต้องทำงานหนักเก็บเงินเอาไว้มากๆ
"แล้วถ้าเกิดตายก่อนได้ใช้เงินล่ะ… เท่ากับทำงานหนักไปเสียเที่ยวแท้ๆ
มิหนำซ้ำยังอาจส่งผลให้อายุสั้นตายไปก่อนจะเกษียณเสียด้วยซ้ำ"
ดังนั้น การที่มีเครื่องมือทางการเงินที่คอยจ่ายเงินรายงวดให้จนกว่าจะครบกำหนดสัญญาหรือจนกว่าจะเสียชีวิตถือเป็นการจัดการความเสี่ยงที่ตรงจุด
ทำให้ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องเงินขาดหรือเกินในการใช้ชีวิตหลังเกษียณ
เครื่องมือทางการเงินในรูปแบบประกันบำนาญเหล่านี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเฉลี่ยความเสี่ยงของทุกคน
โดยใช้หลักการว่า คนที่ตายก่อนค่าอายุเฉลี่ย
จะช่วยสมทบเงินให้กับคนที่ตายหลังอายุเฉลี่ย
พูดมาถึงตรงนี้ผมมีสิ่งหนึ่งที่อยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักกันครับ…
Reverse Mortgage (การกู้จำนองแบบย้อนกลับ หรือ การกู้จำนองล่วงหน้าเพื่อแลกประกันบำนาญ) คือการเอาบ้านหรือที่ดินไปจำนอง เพื่อกู้เอาเงินบำนาญมาใช้จนกว่าจะเสียชีวิต และเมื่อเสียชีวิตก็จะยกบ้านหรือที่ดินนั้นให้เป็นการปลดหนี้ไป ซึ่งมองดูแล้วถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่งของคนที่ต้องการใช้ชีวิตหลังการเกษียณโดยไม่ต้องยุ่งยากหรือปวดหัวว่าจะเก็บเงินสะสมมากพอสำหรับยามเกษียณหรือไม่
ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพกันครับ
นาย ก ขายบ้านเพื่อได้เงินก้อนมา 20 ล้านบาท ตอนอายุ 60 ปี
และคาดว่าตัวเองจะอยู่ถึงไปอายุ 80 ปี จึงวางแผนที่จะใช้จ่ายปีละ 1 ล้านบาท
เป็นเวลา 20 ปี (โดยจะกันเงินส่วนหนึ่งไปเช่าบ้านแทน) หมายความว่านาย ก จะเหลือเงินใช้หลังจากอายุ
80 ปีขึ้นไป แต่ถ้านาย ก เสียชีวิตก่อนอายุ 80 ปี ก็จะเหลือเงินโดยไม่ได้นำไปใช้
นาย ข มีบ้านมูลค่า 20 ล้านบาท เลือกทำ Reverse Mortgage ตอนอายุ 60 ปี โดยจะได้เงินรายงวดให้ใช้จ่ายปีละ
1 ล้านบาท ไปตลอดชีวิต (ยังอาศัยอยู่ในบ้านเดิมตามปกติ) ซึ่งหมายความว่าถ้านาย ข
อายุยืนมากกว่า 80 ปีก็ยังคงมีเงินให้ใช้จ่ายไม่เหมือนนาย ก
กลับกัน ถ้านาย ข เสียชีวิตก่อนอายุ 80 ปี ก็จะทำให้นาย ข
ได้รับเงินรายงวดปีละ 1 ล้านไม่ถึง 20 ปี (ทั้งๆ ที่มูลค่าบ้านมีค่าถึง 20
ล้านบาท) โดยเงินส่วนต่างนั้นไม่ได้ถูกคืนให้กับนาย ข แต่จะกลายเป็นเงินกองกลางของ
Reverse Mortgage เพื่อเก็บไว้จ่ายให้กับคนอื่นที่อายุยืนกว่า
เป็นต้น
Reverse Mortgage จึงเหมาะกับคนที่ไม่ต้องเหลือมรดกให้กับลูกหลาน
เพราะครั้นจะขายเอาเงินก้อนมาเลย ก็ไม่รู้จะวางแผนใช้เงินอย่างไร ถ้าใช้เงินในแต่ละงวดมากเกินไปก็จะทำให้มีเงินไม่พอหากอายุยืน
แต่ถ้าใช้เงินในแต่ละงวดน้อยเกินไปก็จะทำให้เวลาเสียชีวิตแล้วยังมีเงินอยู่เป็นกอง (และจะเสียดายทีหลังว่ารู้อย่างนี้ใช้ชีวิตหลังเกษียณให้สุขสบายกว่านี้ดีกว่า)
นอกจากนี้ ถ้าพิจารณาจากชีวิตของคนเราก็จะเห็นว่าในวัยทำงานเราก็จะตั้งใจทำงานเพื่อเก็บเงินซื้อบ้าน
ซื้อที่ดินและทรัพย์สมบัติทั้งหลาย แต่เมื่อย่างเข้าสู่วัยเกษียณจึงเริ่มคิดได้ว่าชีวิตนี้ตายไปก็เอาอะไรไปด้วยไม่ได้
ทำให้หลักการของ Reverse Mortgage ที่เปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นเงินรายงวดเพื่อใช้จ่ายจนเสียชีวิตนั้นมีประโยชน์และตรงความต้องการของคนวัยเกษียณที่สุด
เป็นเหมือนการกู้มรดกมาใช้ให้พอดีกับอายุขัยของตัวเอง ซึ่งหมายความว่า
ไม่ว่าเราจะอยู่หรือตาย เราก็ยังได้เงินมาใช้พอดีกับอายุขัย
ทั้งนี้ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมได้นำแนวคิดเรื่อง
reverse mortgage มากล่าวในงาน "วางแผนก่อนแก่ ดูแลชีวิตก่อนตาย"
ของสมาคมประกันชีวิตไทย หลังจากวันนั้นก็ปรากฏว่ามีสื่อมวลชนให้ความสนใจกันมาก
ทำให้ผมบรรยายเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ก็ดีใจที่ได้เห็นว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นจริง
โดยมีข่าวว่าธนาคารออมสินวางแผนจะนำร่องออก reverse mortgage ในไม่ช้านี้
"คนเราสักวันก็ต้องตาย แต่จะอยู่หรือตายให้พอดีได้ยังไง...
วันนี้ Reverse Mortgage น่าจะเป็นหนึ่งในทางออกที่ดีที่สุดแล้วครับ"
โดย : อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน) มือหนึ่งด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย คุณวุฒิสูงสุดระดับเฟลโล่
FSA, FIA, FRM, FSAT, MBA, MScFE (Hons), B.Eng (Hons)