25 กันยายน 2561
ในฉบับนี้ผมขออนุญาตยกเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับทิศทางของภาพรวมในประเทศ
เพื่อการขับเคลื่อนเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 อย่างยั่งยืนและมั่นคง
โดยการช่วยกันมองภาพต่างๆ ให้กว้างและไกลขึ้น ซึ่งผมยังจำปาฐกถาที่เคยได้รับฟังจาก
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังท่านหนึ่ง
"คุณกรณ์ จาติกวณิช" ที่เคยได้กล่าวไว้ให้กับสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย
และค่อนข้างสอดคล้องกับทิศทางของประเทศที่กำลังจะมุ่งไป ซึ่งปาฐกถาของท่าน
(ในครึ่งแรก) มีดังนี้
“ผมเชื่อว่าเราต้องการ นักคณิตศาสตร์ประกันภัย มากขึ้นกว่าเดิม
เพราะสังคมเรานั้นสนใจแต่การแก้ปัญหาระยะสั้น
โดยไม่มีใครสนใจแก้ปัญหาระยะยาวอย่างเพียงพอ เราจึงต้องการคนที่ไม่ตามกระแส
แต่มองภาพไปที่ระยะยาวแทน
จากประสบการณ์ของผมทั้งในภาครัฐบาลและภาคธุรกิจ
ผมบอกได้ว่าแนวคิดที่มองไปที่ข้อมูลและข้อเท็จจริงเท่านั้นที่จะช่วยจัดการความเสี่ยงและทำให้อยู่รอด
โดยเป็นตัวแบ่งแยกระหว่างความสำเร็จออกจากความล้มเหลว
ผมได้ผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยหลายครั้ง เช่น
วิกฤติการเงินต้มยำกุ้งในปี 2540 ซี่งตอนนั้นมีนักวิเคราะห์ออกมาเตือนล่วงหน้าเป็นเวลา
3 ปีเต็มๆ แต่คนทั่วไปกลับไม่สนใจคำเตือนนี้ และในปี
2554 ที่เกิดน้ำท่วม ธนาคารโลกได้ประมาณความเสียหายของประเทศไทยถึง 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถูกจัดอันดับความเสียหายเป็นอันดับ 4 ของโลก ตั้งแต่ที่เคยมีการเก็บสถิติมหันตภัยมา เหตุการณ์น้ำท่วมนี้ เกิดจากธรรมชาติ หรือว่า
เราสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ?
หลังจากวิกฤติต้มยำกุ้ง
เราได้มีการปรับปรุงการกำกับดูแลในเรื่องงบประมาณและการตรวจสอบสถาบันการเงินให้เข้มงวดขึ้น
เห็นได้จากในปี 2551 ได้เกิดวิกฤติการณ์ hamburger
crisis ซึ่งส่งผลกระทบต่อฝั่งตะวันตก
แต่ไม่ได้กระทบต่อสถาบันการเงินฝั่งเอเชียมากนัก
เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าการปรับปรุงของเราได้ผล และถ้าเราทำมันก่อนปี 2540 ก็คงไม่เกิดวิกฤติการเงินต้มยำกุ้งเป็นแน่ และถ้าหน่วยงานทุกฝ่ายเข้าใจข้อมูลและได้มีการวิเคราะห์เรื่องน้ำกันอย่างดีพอ
เราก็คงจะหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในไทยได้แน่นอน
ผมมองว่าเป็นความผิดพลาดของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายนักคณิตศาสตร์ประกันภัย มีข้อมูล แต่ขาดการนำเสนอให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รู้ตัว ส่วนฝ่ายระดับนโยบาย
จริงๆ เรามีข้อมูลที่วิเคราะห์เอาไว้ แต่ขาดการนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจ
โดยเฉพาะการตัดสินใจแต่ละอย่างส่วนใหญ่เกิดจากการหวังผลทางการเมืองในระยะสั้น
มันไม่ใช่ความผิดของนักการเมือง แต่เป็นความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อนักการเมืองเสียมากกว่า
เช่น ทางภาครัฐตัดสินใจที่จะลดระดับน้ำในเขื่อนลง ทั้งๆ ที่ข้อมูลระบุชัดเจนว่าหลังจากน้ำท่วมไปแล้ว
1 ปี (พ.ศ. 2555)
จะเกิดภาวะแล้งขึ้น จนในปี พ.ศ. 2555 นั้นก็เกิดภาวะแล้งครั้งใหญ่ขึ้นจริง
โดยที่น้ำในเขื่อนมีไม่เพียงพอ
คำถามที่ฝากไปคิด คือ นักการเมืองตัดสินใจอย่างไม่มีเหตุผล หรือไม่ยอมเชื่อข้อมูลจากนักวิเคราะห์กันแน่ อันที่จริงเป็นเพราะความเสี่ยงทางการเมืองมากกว่าหรือไม่ เพราะในตอนนั้นภาวะแล้งจะถือเป็นปัญหาใหม่ ซึ่งคงจะไม่ค่อยมีคนวิจารณ์กันซักเท่าไหร่ แต่หากเกิดน้ำท่วมซ้ำอีกครั้ง อันนั้นประชาชนคงรับไม่ได้แน่
ดังนั้น นักคณิตศาสตร์ประกันภัย จะรู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลที่วิเคราะห์มาจะเป็นไปในทิศทางใด
หากคนที่นำข้อมูลเหล่านั้นไปตัดสินใจแล้วปรากฎว่าออกมาผิดทาง
(เช่น ปรากฎว่าไม่มีภาวะแล้ง แต่เกิดน้ำท่วมซ้ำรอยแทน) ก็จะมีผลทางการเมืองอย่างมากกับคนที่ตัดสินใจ
หรือ นักคณิตศาสตร์ประกันภัย จะทำอย่างไรที่จะผลักดันให้ ผู้กำหนดนโยบายได้ตัดสินใจบนการพยากรณ์หรือจำลองอนาคตถึงภัยพิบัติล่วงหน้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าถ้าทำแล้วก็จะยังไม่เห็นผลลัพธ์ในทันที (แต่จะเกิดในระยะยาว ซึ่งผู้กำหนดนโยบายตอนนั้นอาจจะเปลี่ยนคน และปิดทองหลังพระไป)”
โดย : อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน) มือหนึ่งด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย คุณวุฒิสูงสุดระดับเฟลโล่
FSA, FIA, FRM, FSAT, MBA, MScFE (Hons), B.Eng (Hons)
ผู้เขียนหนังสือขายดี The Top Job Secret ภาค 2 และที่ปรึกษาบทภาพยนตร์ Love Battle รัก 2 ปียินดีคืนเงิน