20 กุมภาพันธ์ 2563
สำหรับ TFRS 9 และการคำนวณผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss - ECL) แล้ว หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องยากและเป็นเรื่องไกลตัว เพราะเคยได้อ่านข่าวเกี่ยวกับมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9 / IFRS 9) และมีความเข้าใจผิดคิดว่าจะมีผลกระทบกับพวกสถาบันการเงินเพียงอย่างเดียว และเพราะเราคุ้นเคยกันแต่คำว่า NPL (Non - performing Loan) หรือหนี้เน่าเท่านั้น ซึ่งปกติแล้วการคำนวณพวกนี้ต้องตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอย่างจริงจังกันไป
ในฐานะที่ผมได้ประเมินผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss - ECL) ของ TFRS 9 ให้กับบริษัทต่าง ๆ มาเป็นจำนวนมากตั้งแต่มาตรฐาน การรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) มีผลบังคับใช้ในประเทศไทยเป็นต้นมา ผมจึงอยากทำให้ TFRS 9 เป็นเรื่องง่ายและไม่ไกลตัวจนเกินไป โดยจะเน้นเขียนเฉพาะในส่วนของบริษัททั่วไป (ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน) เพราะมาตรฐานบัญชีตัวนี้บังคับใช้กับทุกกิจการที่มีส่วนได้ส่วนเสียสาธารณะ (PAEs : Publicly Accountable Entities)
TFRS 9 กับ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss - ECL) สำคัญแค่ไหนกับบริษัททั่วไป?
TFRS 9 นี้สำคัญกับทุกกิจการเพราะเป็นมาตรฐานเกี่ยวกับการประเมินเครื่องมือทางการเงินที่บริษัทถือเอาไว้อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss -ECL) (หรือจะเรียกว่า “ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ” หรือภาษาทั่วไปว่า “สำรองการโดนเบี้ยวหนี้” ก็ว่าได้) นั่นก็หมายความว่า อะไรก็ตามที่บริษัทมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ บริษัทจะต้องตั้งสำรองเผื่อการโดนเบี้ยวหนี้เอาไว้ด้วย
เพราะการที่บริษัทเป็นเจ้าหนี้แล้ว บริษัทก็จะมีการรับรู้รายได้ไว้ล่วงหน้า ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รับเงินสดจริง ๆ และถ้าตั้ง “ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss - ECL)” เอาไว้ต่ำเกินไป ก็แปลว่าบริษัทรับรู้รายได้เกินความเป็นจริงไปนั่นเอง !
สรุปคือ “อะไรก็ตามที่รับรู้เป็นรายได้มาก่อนแล้วมีโอกาสสูญเสียในภายหลัง ก็ควรจะต้องตั้งเป็นเงินสำรอง ที่เรียกว่า ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss - ECL) เอาไว้ตอนนี้”
หมายเหตุ : การคำนวณค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss - ECL) ใน TFRS 9 นี้ ก็คือ การตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ที่เราเรียกกันในสมัยก่อน
จะดูได้อย่างไรว่าบริษัทมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ใน TFRS 9 / IFRS 9
การเป็นเจ้าหนี้ ในมุมของ TFRS 9 / IFRS 9 แปลว่า เจ้าหนี้จะมีการระบุจำนวนเงินที่ลูกหนี้ต้องจ่ายเป็นจำนวนเท่าไรไว้อย่างชัดเจน มีระบุวันครบกำหนดชำระ (Due Date) ว่าต้องจ่ายเมื่อไร ซึ่งโดยปกติทางบัญชีแล้วบริษัทจะรับรู้ว่าเป็นรายได้ไปก่อนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะได้เงินสดจริงหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทวงเงินสดกันไป
เพราะเมื่อเลยวันครบกำหนดชำระไประยะเวลาหนึ่ง เราก็ต้องมาดูกันว่าสรุปแล้วจะทวงหนี้รายนี้ได้หรือไม่ ถ้าทวงได้ก็ถือว่ายังไม่โดนเบี้ยวหนี้ แต่ถ้าทวงไม่ได้มันก็กลายเป็นหนี้เน่าที่ทวงไม่ได้ นั่นจึงเป็นที่มาของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss - ECL) นั่นเอง
บริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินต้องพิจารณาถึงเครื่องมือทางการเงินและ
TFRS 9 / IFRS 9 ในเรื่องอะไรบ้าง
ในมุมของ
TFRS 9 / IFRS 9 แล้ว ไม่ว่าจะค้าขายอะไรก็ตาม จะต้องมีการคำนวณค่าเผื่อการด้อยค่าของลูกหนี้เสมอ
โดยกลุ่มแรกที่ต้องพิจารณาถึง ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected
Credit Loss - ECL) ก็คือกลุ่มของ “ลูกหนี้การค้า (Account
Receivable)” ที่ปกติแล้วบริษัทจะมีการออกใบแจ้งหนี้และมีวันครบกำหนดชำระให้กับลูกค้า
ซึ่งถึงแม้ว่าประวัติของลูกค้าทุกคนจะไม่เคยเบี้ยวหนี้ก็ตาม แต่ก็ต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ด้วยเช่นกัน
ถ้าสภาวะเศรษฐกิจหรือปัจจัยภายนอกเกิดความผันผวนขึ้นมา
มันก็ไม่แน่ที่ลูกค้าจะเบี้ยวหนี้ได้นั่นเอง เครื่องมือทางการเงิน TFRS 9 อื่น ๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับลูกหนี้การค้า เช่น เงินทดรองจ่าย
เงินประกันผลงาน เงินที่รับรู้รายได้ล่วงหน้าตามความคืบหน้าของผลงาน เป็นต้น
กลุ่มที่สอง ของ TFRS 9 / IFRS 9 ที่ต้องคำนึงถึงการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss - ECL) คือ กลุ่มพวกเงินที่ให้กู้ยืมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่บริษัทไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซื้อพันธบัตรเอกชน ซื้อหุ้นกู้ หรือซื้อตั๋วเงิน รวมไปถึงการให้เงินกู้ยืมระหว่างบริษัท เป็นต้น เพราะเป็นเรื่องทั่วไปที่บริษัทต่าง ๆ จะใช้เครื่องมือทางการเงินเหล่านี้มาบริหารกิจการของตัวเองอยู่แล้ว
หลักการอย่างง่ายของการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
(Expected Credit Loss - ECL) ใน TFRS 9 / IFRS 9
ถ้าต้องทำให้ถูกต้องตามหลักการ TFRS 9
/ IFRS 9 แล้ว บริษัทนั้นจะต้องเก็บสถิติของการชำระหนี้ของลูกหนี้ ย้อนหลังมาให้ได้มากที่สุด
ซึ่งควรจะได้อย่างน้อยถึง 36 เดือนย้อนหลัง เพื่อนำมาศึกษาลักษณะพฤติกรรมการชำระหนี้ของลูกหนี้
ย้อนหลังว่าลูกหนี้แต่ละสัญญามีพฤติกรรมอย่างไร เริ่มทยอยจ่ายเงินในช่วงไหน
และนำมาปรับแต่งทางสถิติและจัดกลุ่มลูกหนี้เพื่อที่จะให้ได้ชุดข้อมูลที่สมบูรณ์ที่สุด
จากนั้นก็จะนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการประเมินอนาคตข้างหน้าว่าแต่ละกลุ่มมีโอกาสเบี้ยวหนี้เท่าไร
เรียกว่า Default Rate หรือ Probability of Default (PD)
(ความน่าจะเป็นในการโดนเบี้ยวหนี้)
และนำมาหาพฤติกรรมในการทวงหนี้ได้คืน จนได้สิ่งที่เรียกว่า Recovery Rate (ความน่าจะเป็นในการทวงหนี้ได้คืน) แล้วค่อยนำมาตั้งเป็นสมมติฐานในการประเมินผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
(Expected Credit Loss - ECL)
สมมติฐานสำหรับการประเมินผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
(Expected Credit Loss - ECL) ที่จะตั้งขึ้นมานั้นก็ต้องนึกอยู่เสมอว่า
อดีตไม่ได้เป็นตัวจำลองอนาคตเสมอไป จึงต้องนำปัจจัยภายนอกมาพิจารณาด้วย
ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate) อัตราการว่างงาน
(Unemployment Rate) หรือการเปลี่ยนแปลงของ GDP ก็มีสิทธิ์ทำให้พฤติกรรมของลูกหนี้เปลี่ยนไปได้ โดยในมาตรฐานบัญชีจะเรียกปัจจัยพวกนี้ว่า
Macroeconomic Variables (MEV) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณา
Forward - looking View ภายใต้ข้อกำหนดใน TFRS 9 / IFRS 9
บทสรุปของ TFRS 9 กับการคำนวณผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
(Expected Credit Loss - ECL)
ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
ของ TFRS 9 / IFRS 9 นั้น
เรียกชื่อเต็มเป็นภาษาอังกฤษว่า Expected
Credit Loss ซึ่งสามารถเรียกเป็นภาษาทั่วไปได้ว่าเป็นการตั้งสำรองการโดนเบี้ยวหนี้
(หรือค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ) จากเครื่องมือทางการเงินต่างๆ โดยเป็นการนำสถิติในอดีตมาจำลองอนาคตถึงความเป็นไปได้ที่จะโดนเบี้ยวหนี้ในกิจกรรมอะไรก็ตามที่บริษัทมีสถานะเป็นเจ้าหนี้
เพื่อให้งบการเงินมีความเหมาะสมและสะท้อนภาพความเป็นจริงมากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือในการวิเคราะห์งบการเงินที่แท้จริง
โดยเฉพาะกับยุคเศรษฐกิจที่ผันผวนอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้