ทำไมต้องตั้งเงินสำรองทางคณิตศาสตร์ประกันภัย สำหรับผลประโยชน์พนักงาน

25 กันยายน 2561

          กฎหมายแรงงานตัวใหม่ในตอนนี้ได้กำหนดว่าการเกษียณเท่ากับเลิกจ้าง
ซึ่งนายจ้างต้องจ่ายเงินชดเชย พร้อมกำหนดอายุเกษียณเป็น 60 ปี


 

ดังนั้น อัตราค่าชดเชยตามอายุงานเมื่อทำงานจนถึงอายุเกษียณ คือ อายุงานมากกว่า 10 ปี ได้รับการชดเชย 10 เดือน หรือ 300 วัน หากทำงาน 6 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี ได้รับการชดเชย 8 เดือน อายุงาน 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี จะได้รับค่าชดเชย 6 เดือน ทำงาน 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี จะได้ค่าชดเชย 3 เดือน และทำงาน 120 วัน แต่ไม่ถึง 1 ปี ได้รับค่าชดเชย 1 เดือน

 

ทำให้นายจ้างอาจต้องจัดจ้าง นักคณิตศาสตร์ประกันภัย มาคำนวณตั้งเงินสำรองเป็นเงินกองทุนของบริษัทเพื่อเอาไว้จ่ายลูกจ้างในอนาคต โดยค่าชดเชยเหล่านี้ ถือเป็นการการันตีผลประโยชน์ที่ลูกจ้างจะได้รับตอนที่ทำงานจนถึงอายุเกษียณ ซึ่งหลักการก็คล้ายกับการประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์   การตั้งเงินสำรองจึงสามารถตั้งแบบคณิตศาสตร์ประกันภัยได้

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสมมติว่าเรารู้ว่าบริษัทจะต้องจ่ายหนี้ก้อนโตมูลค่า 12 ล้านบาทที่ต้องจ่ายชดเชยพนักงานในอีก 1 ปีข้างหน้า เราอาจจะทยอยตั้งสำรอง เดือนละ 1 ล้านบาท พอเวลาผ่านไปครบ 12 เดือน บริษัทก็จะมีเงินสำรองครบ 12 ล้านบาท เอาไว้พอจ่ายหนี้ครบจำนวนพอดี


ถ้าระยะเวลาเป็นแค่ระยะสั้นๆ แค่ 1 ปี การตั้งสำรองต่างๆ ก็คงจะไม่ยาก แต่ลองคิดตามกันดูครับว่า ถ้าเราเปลี่ยนระยะเวลาจาก 1 ปี ไปเป็นระยะเวลา 20 ปี แล้วจะทำอย่างไร
สมมติตัวอย่างเดิม ที่มีหนี้ต้องจ่ายชดเชยพนักงานเป็นจำนวน 12 ล้านบาท แต่ทีนี้เรารู้ว่าจะต้องจ่ายในอีก 12 ปีข้างหน้า เราก็สามารถทำได้เหมือนเดิม คือ ทยอยตั้งเงินสำรองปีละ 1 ล้านบาท และเมื่อครบกำหนด 12 ปี หนี้สินที่บริษัทตั้งสำรองเอาไว้ก็ครบ 12 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้ได้พอดี  แต่ในความเป็นจริงแล้ว โอกาสที่พนักงานแต่ละคนจะได้รับก็ไม่ใช่ 100%  และเรายังสามารถนำเงินไปลงทุนก่อนได้ จึงทำให้เราไม่ต้องทยอยตั้งสำรองปีละ 1 ล้านบาทก็ได้ อาจจะตั้งแค่ปีละ 3 แสนบาท ก็น่าจะเพียงพอ


หลักคณิตศาสตร์ประกันภัย คือการหาโอกาสความน่าจะเป็นที่จะจ่ายในแต่ละคน รวมถึงการหาอัตราดอกเบี้ยจากเงินกองทุนที่จะทำให้เงินทำงานได้ เพราะโอกาสที่พนักงานแต่ละคนจะได้รับเงินชดเชย ก็ไม่ใช่ 100%  และเรายังสามารถนำเงินไปลงทุนก่อนได้ จึงทำให้เราไม่ต้องทยอยตั้งสำรองเต็มจำนวน ซึ่งเงินที่ต้องเตรียมไว้จ่ายค่าชดเชยของแต่ละคนในยามเกษียณนั้น แทนที่จะต้องตั้งสำรองจ่ายเต็มๆ เราก็คำนวณโดย หลักคณิตศาสตร์ประกันภัย แล้วลดทอนด้วยหลักความน่าจะเป็น (ที่มีโอกาสไม่จ่าย) และ หลักการลงทุนดอกเบี้ยทบต้นที่มีโอกาสให้เงินทำงานงอกเงยดอกเบี้ยหนี้ก้อนที่คิดว่าจะต้องตั้งสำรองเต็มๆ จึงถูกลดทอนด้วยการคำนวณทางคณิตศาสตร์ประกันภัย โดยประมาณไปในอนาคตระยะยาว ทำให้ไม่ต้องตั้งสำรองเต็ม บริษัทจึงสามารถตั้งหนี้สินได้น้อยลงไปเยอะ

ถึงจะซับซ้อนแต่ก็มีประโยชน์มากนะครับ... ซึ่งการคำนวณผลประโยชน์พนักงานดังกล่าว เราสามารถจัดจ้าง นักคณิตศาสตร์ประกันภัยมาคำนวณให้ได้

 

ดังนั้น กิจการที่มีส่วนได้เสียต่อสาธารณะ (PEA) จึงควรใช้การประมาณการโดย นักคณิตศาสตร์ประกันภัย เพื่อที่จะได้เปิดเผยข้อมูลลักษณะธรรมชาติของภาระผูกพันอย่างละเอียดต่อผู้มีส่วนได้เสีย และจากที่กล่าวมาจะเห็นว่าการคำนวณของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยนั้นส่งผลต่อสถานภาพทางการเงินของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญจึงต้องมีการสอบใบคุณวุฒิเพื่อรับรองความสามารถ และให้มั่นใจว่าตัวเลขดังกล่าวสามารถเชื่อถือได้ นักคณิตศาสตร์ประกันภัยระดับเฟลโล่ จึงเป็นคนที่มีคุณวุฒิในการประกอบวิชาชีพนี้โดยสมบูรณ์แล้ว ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ที่                                                                       

เว็บไซต์ของสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย (The Societies of Actuaries of Thailand) www.soat.or.th



นายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย
อาจารย์บรรยายด้านการคำนวณผลประโยชน์พนักงานด้วยหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย 
อาจารย์ที่ปรึกษาบทภาพยนตร์ Love Battle รัก 2 ปียินดีคืนเงิน
และผู้แต่งหนังสือ 
  •  The Top Job Secret ภาค 1 – อาชีพเงินล้านที่คนไทยยังไม่รู้จัก
  •  The Top Job Secret ภาค 2 - ทำน้อยได้มาก ฉลาดเลือกงาน 
  • ให้เงินทำงาน ภาค 1 - การจัดการสินทรัพย์และหนี้สินให้ถูกวิธี (Asset Liability Management)
  • ให้เงินทำงาน ภาค 2 - วิเคราะห์ภาษีกับนักคณิตศาสตร์ประกันภัย (ตัดสินใจวางแผนการออมเพื่อประโยชน์ทางภาษี)