22 มิถุนายน 2563
พลิกโฉมงบการเงินกับการประเมินสัญญาเช่า ตาม TFRS16
"หากต้องการคำปรึกษา สามารถโทรสอบถาม ศุภิชาเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร 087-100-7199 หรือ โทรหา อาจารย์ทอมมี่ ที่ 082-899-7979 ได้โดยตรงเช่นกัน" |
มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 16 เรื่องสัญญาเช่า (TFRS16) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 ไปแล้ว ซึ่งจะทำให้งบการเงินของ “บริษัทผู้เช่า” เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว (ในทางกลับกัน การบันทึกบัญชีสำหรับผู้ให้เช่านั้น จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ)
ภายใต้ TFRS16 ได้มีการกำหนดหลักการใหม่
(มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจาก TAS17) ให้ผู้เช่าต้องรับรู้ภาระผูกพันที่เกิดจากสัญญาเช่าเข้ามาในงบการเงิน
โดยที่ผู้เช่าไม่จำเป็นต้องทำการจัดประเภทของสัญญาเช่าว่าต้องเป็นสัญญาเช่าการเงิน
(Financial Lease) หรือ สัญญาเช่าดำเนินงาน (Operating
Lease) อีกต่อไป แต่ TFRS16 นั้น จะให้ผู้เช่ารับรู้สิทธิในการใช้ทรัพย์สินพร้อมกับรับรู้หนี้สิน
ตลอดระยะเวลาของสัญญาเช่า รวมถึงต้องมีการตีความระยะเวลาที่ผู้เช่ามีสิทธิที่จะเลือกต่ออายุสัญญาเช่า
และต้องใช้ดุลยพินิจประกอบกับสมมติฐานว่าเป็นไปอย่างสมเหตุสมผลว่าผู้เช่าจะใช้สิทธิอย่างไร
ดังนั้น ภายใต้หลักการใหม่ดังกล่าว
ทำให้ส่งผลกระทบกับตัวเลขในงบการเงินของ “ผู้เช่า” อย่างมีสาระสำคัญ และทำให้การประเมินเกิดความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการหาอัตราคิดลดที่เหมาะสมเพื่อนำไปใช้ในโมเดลการคำนวณ
TFRS16 ข้อยกเว้น ของ TFRS16 ที่ไม่ต้องคำนวณ คือ ถ้าสัญญาเช่าดังกล่าวเป็นสัญญาเช่าระยะสั้นซึ่งมีอายุไม่เกิน
12 เดือน หรือ เป็นสัญญาเช่าที่สินทรัพย์อ้างอิงมีมูลค่าต่ำกว่า 5 พันเหรียญสหรัฐ
(ราวๆ 150,000 บาท) ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งรับรู้สิทธิในการใช้ทรัพย์สิน
และไม่ต้องตั้งรับรู้หนี้สิน
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดผลกระทบอย่างไร ?
เพราะเมื่อสมัยก่อน ผู้เช่าสามารถจะจำแนกประเภทของสัญญาเช่า เป็น 2 ประเภท คือ สัญญาเช่าการเงิน (Financial Lease) และ สัญญาเช่าดำเนินงาน (Operating Lease) ซึ่งข้อได้เปรียบของการจัดประเภทสัญญาเช่าให้เป็นสัญญาเช่าดำเนินงาน (Operating Lease) ก็คือ ค่าเช่าที่ชำระเป็นงวดนั้นจะถือเป็นค่าใช้จ่ายในงวดนั้นไป โดยที่ไม่ต้องมาตั้งรับรู้เป็นสินทรัพย์หรือหนี้สินในงบการเงิน ทำให้การคำนวณอัตราส่วนทางการเงินต่าง ๆ ดูดีกว่า การจำแนกสัญญาเช่าให้เป็นสัญญาเช่าการเงิน (Financial Lease)
จะเห็นว่าผลกระทบที่มีต่องบการเงิน
จะส่งผลถึงการคำนวณอัตราส่วนทางการเงินต่าง ๆ เนื่องจาก ถ้าถูกตีความตาม TFRS16 ว่าเป็นสัญญาเช่าแล้ว เกือบทุกสัญญา ใน TFRS16 จะต้องรับรู้สิทธิในการใช้ทรัพย์สิน (ROU) เป็นสินทรัพย์ในงบการเงิน
และรับรู้หนี้สินจากภาระผูกพันที่เกิดจากค่าเช่า (Lease Liability) ในอนาคตดังกล่าวเข้ามาในงบการเงิน นอกจากกระทบกับงบดุลแล้ว TFRS16 ยังจะส่งผลกระทบกับงบกำไรขาดทุนอีกด้วย
เพราะการจัดทำงบการเงินตาม TFRS16 ทำให้บริษัทต้องรายงาน
“สัญญาเช่าดำเนินงาน” มาแสดงในงบการเงินทันที ที่มีการลงนามสัญญาเช่า
ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ลดลง
และอัตราหนี้สินต่อทรัยพ์สิน (D/E) เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับ “ผู้ให้เช่า” นั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อการลงบัญชี โดยผู้ให้เช่าต้องจัดประเภทสัญญาเช่า เป็นสัญญาเช่าดำเนินงาน หรือสัญญาเช่าการเงินและบันทึกบัญชีสำหรับสัญญาเช่าทั้ง 2 ประเภทนี้อย่างแตกต่างกัน ถึงแม้ว่า หลักการบัญชีผู้ให้เช่า จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ แต่การเปลี่ยนแปลงหลักการบางเรื่อง ภายใต้ TFRS16 ที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ให้เช่าคือ หลักการเรื่องการเช่าช่วงและการขาย และการเช่ากลับคืน ผู้ให้เช่าต้องมีการพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยเช่นกัน
สรุปสิ่งที่ต้องทำสำหรับ TFRS16 ในมุมของ “ผู้เช่า”
โดย : อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน) ด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย คุณวุฒิสูงสุดระดับเฟลโล่
FSA, FIA, FRM, FSAT, MBA, MScFE (Hons), B.Eng (Hons)
บทความที่เกี่ยวข้อง