12 มกราคม 2564
ศาสตร์ใหม่
ๆ บนโลกนี้เกิดขึ้นมาได้ตลอดเวลา ในปัจจุบันทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลกันได้ง่าย
รวมถึงสถานการณ์ต่าง ๆ บนโลกก็ผันผวนมากขึ้น
ต่างจากสมัยก่อนที่นักการเงินมักพูดถึงเรื่องดอกเบี้ยที่คำนวณค่าเงินวันนี้กับค่าเงินในวันหน้าเท่านั้น
เป็นที่มาในการปรับปรุงหลักการเงินแทนที่ควรมีเพียงดอกเบี้ย
จึงต้องเพิ่มมุมมองของความน่าจะเป็น
หรือโอกาสที่เป็นไปได้ของแต่ละสถานการณ์เข้ามาด้วย
ทำให้หลักการดังกล่าวได้เริ่มแพร่หลายออกไปเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา และเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน
หลักการที่กล่าวมานี้
เป็นหลักการวิศวกรรมการเงินและหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้จริง ๆ แล้วใช้หลักการเดียวกัน คือ
การหาสถิติในอดีต มาประเมินเป็นความน่าจะเป็นของแต่ละสถานการณ์ในอนาคต
และจากนั้นก็หาค่าเฉลี่ยของแต่ละสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา
โดยเมื่อได้การคาดการณ์ของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว นำมาคำนวณโดยอาศัยหลักคณิตศาสตร์การเงินเข้ามาอีกชั้น เพื่อแปลงให้เป็นเงินมูลค่าปัจจุบันโดยสะท้อนเรื่องปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เข้าไปด้วย
จึงจะทำให้การพยากรณ์อนาคตนั้นสะท้อนเรื่องราวต่าง
ๆ ลงในปัจจุบันได้ดีพอ
หลักคณิตศาสตร์ประกันภัยและหลักวิศวกรรมการเงินนั้นได้ถูกสร้างมาจากคนที่อยากใช้หลักการนี้มาประเมินและคำนวณสถานการณ์ในอนาคตข้างหน้า
ซึ่งหนึ่งในสถานการณ์ที่ทุกคนอยากรู้กัน ก็คือว่า ผลลัพธ์นั้นจะออกมาเป็นอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นผลชนะของฟุตบอล ของม้าแข่ง ของเกมโชว์ ของการแทงหวย ของการประกันภัย หรือแม้แต่ตราสารอนุพันธ์ที่ขายในตลาดหลักทรัพย์
ซึ่งหลักการนี้เราจะอาศัยทฤษฎีที่เรียกว่า “ทฤษฎีความน่าจะเป็น” ว่ามี “โอกาส” อยู่เท่าไร
ด้วยเงื่อนไขหรือบริบทอะไรบ้าง ที่จะเป็นไปตามผลลัพธ์นั้น และนำมาคำนวณให้แม่นยำ
ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่มีคำว่า “โอกาส” เมื่อนั้นก็สามารถอาศัยหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยและหลักวิศวกรรมการเงินที่ว่านี้เข้ามาคำนวณและประเมินโอกาสนั้นให้ออกมาเป็นตัวเลขได้
หากกล่าวจริง ๆ แล้ว
คณิตศาสตร์ประกันภัยกับวิศวกรรมการเงินนั้นไม่ได้มีความแตกต่างกันมาก
แม้กระทั่งเนื้อหาวิชาที่ต้องเรียนเองก็คล้ายกันมาก นักคณิตศาสตร์ประกันภัยบ่อยครั้งก็ถูกเรียกว่า เป็น “นักวิศวกรรมการเงินของธุรกิจประกันภัย” เพราะมีเพียงแต่วิธีการประยุกต์ที่อาจจะแตกต่างกันบ้างเท่านั้น
จึงเห็นว่านักคณิตศาสตร์ประกันภัยหลายคนนิยมหันมาเรียนวิชาในวิศวกรรมการเงิน
นั่นก็เพราะความคล้ายคลึงกันในเนื้อหาวิชานั่นเอง
เหตุผลที่การเรียนวิชาของคณิตศาสตร์ประกันภัยนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตรของวิศวกรรมการเงิน ก็คือ นักคณิตศาสตร์ประกันภัยต้องสร้างและประเมินมูลค่าของเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหลักการของวิศวกรรมการเงินที่ต้องทำแบบนี้อยู่แล้ว
เพียงแต่นักคณิตศาสตร์ประกันภัยมักเน้นสร้างเครื่องมือทางการเงินของสวัสดิการในสังคมที่เกี่ยวข้องกับระบบประกันภัย ส่วนนักวิศวกรรมการเงินเน้นสร้างเครื่องมือทางการเงินที่เป็นพวกตราสารอนุพันธ์ หรือตราสารพิเศษ ในตลาดการเงินที่เห็นอยู่ทั่วไป
ในฐานะที่ผมเป็นทั้งนักคณิตศาสตร์ประกันภัยและนักวิศวกรรมการเงินนั้น จะเห็นว่า คณิตศาสตร์ประกันภัยมีความแตกต่างกว่าวิศวกรรมการเงินอยู่ 2 อย่าง คือ
การคำนวณจึงต้องครอบคลุมให้กว้างกว่า
ต้องมองในมุมเศรษฐศาสตร์มหภาคให้ไกลมาก ๆ ได้
แต่ถ้าเป็นประกันวินาศภัยนั้นเน้นระยะเวลาที่คุ้มครองสั้น
แต่เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้วก็ต้องบริหารความเสี่ยงกันยาว เช่น เหตุการณ์น้ำท่วม
เป็นต้น
ส่วนของวิศวกรรมการเงินนั้นยังมองภาพเป็นระยะกลาง ๆ
ไม่สั้น ไม่ยาว
สุดท้ายแล้ว สำหรับคนที่ทำงานมีประสบการณ์แล้ว
มักเข้าใจได้ดีเลยว่า ชื่ออาชีพกับชื่อตำแหน่งนั้น มันเป็นเพียงแค่ชื่อเท่านั้น
ไม่ว่าเราจะเรียนอะไร หรือทำอาชีพอะไรนั้น
มันก็เป็นเพียงชื่อเรียกครับ
แต่สำคัญตรงที่ว่า
เราใช้หลักการอะไร ทำอะไร และทำไปทำไมอยู่ต่างหาก
ชีวิตจริงไม่เคยมีศาสตร์เดียวให้เรียนรู้อยู่แล้วครับ
อยู่ที่การประยุกต์ใช้ต่างหาก จริงไหมครับ?
นายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย
อาจารย์บรรยายด้านการคำนวณผลประโยชน์พนักงานด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย
อาจารย์ที่ปรึกษาบทภาพยนตร์ Love Battle รัก 2 ปียินดีคืนเงิน
และผู้แต่งหนังสือ
บทความที่เกี่ยวข้อง